484 จำนวนผู้เข้าชม |
สำหรับใครที่กำลังยื่นกู้สินเชื่อส่วนบุคคลไม่ว่าจะเป็น สินเชื่อออนไลน์ แอปสินเชื่อสินเชื่อทะเบียนรถ โฉนดที่ดิน บ้าน คอนโด เพื่อนำเงินก้อนไปใช้ในยามฉุกเฉิน เมื่อพูดถึงสินเชื่อ เคยสงสัยไหมว่า ทำไมบางคนไปยื่นกู้สินเชื่อพร้อมกัน แต่กลับชำระหนี้หมดก่อนเรา? อย่าเก็บความสงสัยไว้แค่ในใจ เพราะวันนี้มีคำตอบที่คุณจะได้เข้าใจเรื่องเกี่ยวกับดอกเบี้ยกันเพิ่มขึ้น
ดอกเบี้ยเงินกู้ที่เรารู้จักกันดี มี 2 ประเภท คือ ดอกเบี้ยแบบคงที่ (Fixed Rate) และดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก (Effective Rate) ซึ่งทั้งดอกเบี้ยทั้งสองแบบนี้มีความแตกต่างกันดังนี้
เพื่อความเข้าใจง่าย ๆ ก็ คือ อัตราดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ตายตัว ไม่มีการปรับตลอดการทำสัญญา โดยคำนวณจากจำนวนเงินต้นที่ขอสินเชื่อ และนำมาหารกับจำนวนงวดที่ต้องจ่ายในอัตราการคิดดอกเบี้ยที่เท่ากันในแต่ละครั้งของการชำระหนี้ จนกว่าผู้ขอสินเชื่อจะจ่ายครบตามสัญญากู้ที่ได้ตกลงร่วมกันไว้มักใช้กับการเช่าซื้อรถ
ดอกเบี้ยแบบคงที่นั้น ในแต่ละงวดที่ตายตัวอยู่แล้ว เราจะสามารถคำนวณหาจำนวนดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายทั้งหมดได้ด้วยสูตรดังต่อไปนี้
ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายทั้งหมด สามารถคำนวณได้ดังนี้ = (เงินต้น x อัตราดอกเบี้ย) x จำนวนปี
ตัวอย่างเช่น สมมติให้เงินต้นเป็น 10,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 10% และผ่อนเป็นระยะเวลา 2 ปี จะมีจำนวนดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายทั้งหมด = 10,000 x 10% x 2 = 2,000 บาท
หลังจากนั้นถ้าหากต้องการทราบว่าจะต้องผ่อนชำระเดือนละเท่าไร ให้ใช้สูตรดังนี้
สูตรการคำนวณจำนวนเงินที่ต้องผ่อนชำระต่อเดือน = (เงินต้น + ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายทั้งหมด) / จำนวนงวดที่ต้องผ่อนชำระ
ตัวอย่างเช่น (10,000 + 2,000) / 24 = 5,00 บาท
ข้อดี 1. อัตราดอกเบี้ยคงที่ สามารถวางแผนการใช้เงินได้ง่ายขึ้น
2. เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการจะผ่อนจ่ายไปเรื่อย ๆ ไม่รีบปิดยอด
ดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก คือ ดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลงไปตามจำนวนเงินต้นที่ผู้ขอสินเชื่อได้ชำระในแต่ละงวด โดยดกเบี้ยจะลดลงเรื่อย ๆ ตามเงินต้นที่ลดลง เนื่องจากถูกหักออกไปจากการชำระหนี้งวดก่อนหน้า โดยดอกเบี้ยแบบนี้จะใช้ในการคิดดอกเบี้ย สินเชื่อบุคคล, สินเชื่อออนไลน์, แอปสินเชื่อ บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด เป็นต้น
ข้อดี 1. อัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลงไปตามจำนวนเงินต้นที่ผู้ขอสินเชื่อได้ชำระในแต่ละงวดโดยดอกเบี้ยจะลดลงเรื่อย ๆ ตามเงินต้นที่ลดลง
2.เหมาะสำหรับผู้ที่คิดว่าตนเองมีกำลังมากพอที่จะนำเงินมาปิดยอดได้ไว ง่ายมากยิ่งขึ้น ลดความเสี่ยงของความไม่มั่นคงได้เป็นอย่างดี
ในการคิดดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกที่ต้องจ่ายในแต่ละงวดนั้น ให้นำเงินต้นคงเหลือในงวดดังกล่าวมาคำนวณด้วยสูตรดังต่อไปนี้
สูตรในการหาดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในงวดนั้น = (เงินต้นคงเหลือ x อัตราดอกเบี้ยต่อปี x จำนวนวันในงวด) / จำนวนวันต่อปี
ยกตัวอย่างเช่น เงินต้นคงเหลือ 100,000 บาท อัตราดอกเบี้ย 10% ต่อปี ก็จะมีดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในงวดนั้น = (100,000 x 10% x 30) / 365 = 820 บาท
หลังจากนั้นถ้าหากต้องการทราบว่างวดถัดไปต้องจ่ายดอกเบี้ยเท่าไร ให้คำนวณหาเงินต้นคงเหลือ
สมมติต้องผ่อนชำระเดือนละ 10,000 บาท ให้นำไปหักลบกับดอกเบี้ยที่จ่ายในงวดนั้น ก็จะได้ออกมาเป็นเงินต้นที่ลดลง = 10,000 - 820 = 9180 บาท จากนั้นก็นำเงินต้นคงเหลือจากงวดก่อนมาหักลบ ก็จะได้เงินต้นคงเหลือ = 10,000 - 9180 = 90,820 บาท ซึ่งสามารถนำไปคำนวณหาดอกเบี้ยต่อได้เลย
มาถึงตรงนี้แล้วก็คงสงสัยว่าแล้วจะเลือกดอกเบี้ยแบบไหนดี แนะนำว่าให้เราพิจารณาจากระยะเวลาที่เราผ่อนชำระ หากว่าเราต้องการเงินแบบเฉพาะกิจและคิดว่าจะผ่อนชำระไม่กี่เดือนก็สามารถนำเงินก้อนกลับมาปิดบัญชีได้ การเลือกดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกก็ตอบโจทย์กับคนกลุ่มนี้เป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันหากใครเน้นการผ่อนไปเรื่อย ๆ ในระยะยาวตามวันที่ระบุในสัญญา การเลือกผ่อนแบบสบาย ๆ ในดอกเบี้ยคงที่ก็จะคุ้มค่ามากกว่า แต่หากในระยะนั้นคุณมีเงินก้อนเข้ามาจ่ายชำระส่วนนี้เพื่อปิดบัญชีสินเชื่อส่วนบุคคลได้ก็ยังต้องเสียดอกเบี้ยโดยประมาณ 50% อยู่ดี ซึ่งในส่วนนี้ก็จะเป็นข้อแตกต่างระหว่างดอกเบี้ยคงกับดอกเบี้ยลดต้นลดดอกนั่นเอง
มาถึงตรงนี้คงพอได้คำตอบแล้วว่า ดอกเบี้ยลดต้นลดดอก กับ ดอกเบี้ยคงที่ แตกต่างกันอย่างไร และควรเลือกดอกเบี้ยแบบไหนดี ซึ่งถ้าเราคิดว่าในอนาคตจะมีเงินก้อนมาปิดหนี้ การเลือกแบบลดต้นลดดอกก็จะช่วยประหยัดดอกเบี้ยและเคลียร์หนี้ได้เร็วกว่า แต่ถ้าต้องการผ่อนไปเรื่อย ๆ ไม่มีเงินมาปิดหนี้ทั้งหมด น่าจะเหมาะกับดอกเบี้ยแบบคงที่มากกว่า อย่างไรก็ตาม การกู้เงินก้อนใหญ่นั้น คือภาระหนี้สินที่ต้องรับผิดชอบเป็นเวลานานผู้ที่สนใจยื่นขอสินเชื่อจึงควรคิดให้ดีเสียก่อนก่อนตัดสินใจกู้ด้วยนะ